วันศุกร์, 29 มีนาคม 2567

กาญจนบุรี”กรมอุทยานฯปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.10

กาญจนบุรี กรมอุทยานฯ ปลูกป่าเฉลิมพระเกรียติ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ร.10 หลังยึดพื้นที่กว่า 30 ไร่ คืนจากนายทุนใหญ่เจ้าของห้างดัง

 

วันนี้ 29 ก.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)กรมอุทยานแห่งชาติ นางคณิสรา เชฐบัณฑิตย์ ผู้อำนวยการส่วนอุทยานแห่งชาติ นายปรยุษณ์ ไวว่อง หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักบริหารพื้นอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)และประชาชนในท้องถิ่น เป็นจำนวนมาก

ได้ร่วมกันปลูกป่าใน”โครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า” ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ บริเวณพื้นที่บ้านท่ากะทิ หมู่ 6 ต.ช่องสะเดา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ทั้งนี้ เพื่อแสดงความจงรักภักดี และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่ได้ทรงปฎิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน

 

ซึ่งเป็นไปตามนโยบายนายวราวุธ ศิลปะอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ให้ดำเนินการยึดคืนพื้นที่ที่นายทุนบุกรุกป่าอย่างเด็ดขาด เพื่อนำมาฟื้นฟูสภาพป่า ให้กลับมาเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร อีกทั้งเป็นการแก้ไขปัญหาภัยแล้งอีกทางหนึ่ง ให้กับประชาชน

นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) กล่าวว่า โดยที่ดินดังกล่าวได้ยึดคืนมาจากนายทุนใหญ่เจ้าของห้างดัง ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นที่ดินตามมติครม.30 มิ.ย.2541 ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จำนวน 39 ไร่ ที่นายทุนได้ซื้อมาจากราษฎรเดิมที่อยู่ในหมู่บ้าน

ที่รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือราษฎรผู้ยากจน ให้ผ่อนผันอยู่อาศัยหรือทำกินในเขตอุทยานแห่งชาติได้ แต่ห้ามมีการ ซื้อ ขาย เปลี่ยนมือ หรือโอนสิทธิ ในที่ดินดังกล่าว และนายทุนใหญ่ เจ้าของห้างชื่อดังได้ถูกแจ้งความดำเนินคดี เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2560 ในข้อหายึดถือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณโดยมิได้รับอนุญาต

 

ต่อมาวันที่ 8 มี.ค.61 อัยการจังหวัดกาญจนบุรี มีคำสั่งไม่ฟ้องนายทุนใหญ่ เจ้าของห้างชื่อดัง โดยสรุปคำวินิจฉัยได้ว่า “ราษฏรเจ้าของที่ดินเดิมที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยหรือทำกินตามมติ ครม.30 มิ.ย. 2541 ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ได้มาขอกู้ยืมเงินกับผู้ต้องหา เป็นจำนวนเงิน2750000 บาท และได้นำที่ดินที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่อาศัยหรือทำกิน ตามมติครม. 30 มิ.ย. 2541 ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ดังกล่าว มาค้ำประกันเงินกู้ยืม กับผู้ต้องหาเอาไว้ โดยมีสัญญาชำระเงินกู้ยืมคืนภายใน 6 ปี จึงยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผู้ต้องหาเป็นเจ้าของผู้เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินพยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง”

แต่ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทำนิติกรรมอำพราง โดยทำนิติกรรมสัญญากู้เงิน อำพราง นิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นการขัดกับกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคสอง

ถึงแม้อัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้อง ทำให้นายทุนใหญ่เจ้าของห้างดัง หลุดพ้นในคดีอาญา แต่ที่ดินดังกล่าวก็ยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ก็ยังมีอำนาจทางปกครองฟ้องขับไล่ยึดคืนที่ดินดังกล่าว กลับมาเป็นสมบัติของแผ่นดินได้

จึงแจ้งให้นายทุนใหญ่เจ้าของห้างดัง ให้ออกจากที่ดิน มิฉะนั้นจะประกาศคำสั่งขับไล่ ตามมาตรา 35 (1) พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2562 ฉบับใหม่ หากฝ่าฝืนไม่ยอมออกจากที่ดิน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละ 1 หมื่นจนกว่าจะออกจากที่ดิน ซึ่งต่อมาทางนายทุนใหญ่ เจ้าของห้างดัง ได้ยินยอมออกจากที่ดินแต่โดยดี

ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จึงได้นำที่ดินที่ได้ยึดคืนมาจำนวน 39 ไร่ มาปลูกป่าเพื่อแสดงความจงรักภักดีตาม”โครงการปลูกป่า และป้องกันไฟป่า” ด้วยการนำไม้ป่ามีค่ามาปลูกเสริมเข้าไปในพื้นที่ เช่น ไม้ประดู่ แดง มะค่าโมง พะยูง ตะเคียนทอง สัก และอื่นๆ รวมจำนวน 1,000 ต้น เพื่อให้ป่าบริเวณดังกล่าวมีสภาพสมบูรณ์โดยเร็ว และเพื่อเป็นการป้องกันการบุกรุกซ้ำในอนาคต

เพราะที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ในทำเลที่สวยงาม ติดกับถนนทางหลวงในเขตชุมชน จึงได้ทำป้ายหินเทียมไม้ติดไว้หน้าพื้นที่อย่างถาวร และตั้งชื่อในพื้นที่แห่งนี้ใหม่ว่า “สวนป่าธรรมชาติเอราวัณ” ดำเนินการโดย อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ขอให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกันว่า บริเวณแห่งนี้ตกเป็นสมบัติของส่วนรวม เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร และเป็นแหล่งเรียนรู้พันธุ์ไม้ป่ามีค่า ของประชาชนในท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป ตลอดไป”นายนิพนธ์ กล่าว

ปรีชา ไหลวารินทร์ / กาญจนบุรี

Loading