วันเสาร์, 20 เมษายน 2567

ราชบุรี”คืบหน้า-หนุ่มจัดฉากฆ่าอำพราง เผาคารถเพื่อหนีคดี

02 ส.ค. 2020
19

ราชบุรี – คืบหน้า หนุ่มจัดฉากฆ่าอำพรางเผาคาซากรถเพื่อหนีคดี

 

จากคดีพบโครงกระดูกมนุษย์ในซากรถยนต์เก๋งยี่ห้อซีตรอง สีแดง หมายเลขทะเบียน กม 6094 ราชบุรี ลักษณะชนท้ายรถยนต์เก๋งเก่าญี่ปุ่น ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน มีร่องรอยเพลิงไหม้เสียหายทั้ง 2 คัน บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 112 หมู่ 2 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี เปิดเป็นอู่รับทำเบาะรถยนต์ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 26 ก.ค.63 ที่ผ่านมา เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าโครงกระดูกที่พบน่าจะเป็นของนายธิตินันท์ ภู่สุวรรณ อายุ 43 ปี เจ้าของอู่ดังกล่าว แต่จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจพบพิรุธหลายจุด จึงมีการสืบสวนสอบสวน และเก็บหลักฐานไปตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ กระทั่งคดีพลิกโครงกระดูกที่พบเป็นศพนายเปลี่ยน สีชมพู อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13 หมู่ 10 ต.จอมบึง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นชายเร่ร่อนเดินเก็บขยะขายในละแวกดังกล่าว กระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปติดตามควบคุมตัวนายธิตินันท์ ภู่สุวรรณ เจ้าของอู่ไว้ได้ขณะหลบหนีไปอยู่อ.บ้านคา จ.ราชบุรี นำตัวมาสอบสวนจนรับสารภาพว่าจัดฉากฆ่านายเปลี่ยน ให้เป็นศพแทนตนเอง ด้วยการใช้เหล็กชะแชลงตี แล้วนำศพนายเปลี่ยนไปเผาคาซากรถ ทำทีว่ารถเกิดแก๊สลุกไหม้จนคลอกร่างตนเองดับ เพื่อหนีคดีพยายามฆ่า และต้องการเงินประกัน

 

ความคืบหน้าของคดีฆ่าเผาโหดเหี้ยมครั้งนี้ เมื่อวันที่ 2 ส.ค.63 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดหนองบัวค่าย หมู่ 2 ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพนายเปลี่ยน สีชมพู พบกับ น.ส.ภันฑิรา พรมรัตน์ อายุ 36 ปี นายภูไท กัลยาณคุณ อายุ 30 ปี น้องสาว หลานชาย และหลานสะใภ้ นายเปลี่ยน รวม 4 คน กำลังช่วยกันเตรียมของเพื่อใช้ในงานศพ บรรยากาศเงียบเหงา น.ส.ภันฑิรา เปิดเผยว่านายเปลี่ยน อาศัยอยู่กับนายภูไท แต่เขาชอบเดินเก็บของเก่าโดยที่ไม่ได้เอาไปขาย จะใช้รถเข็นบรรทุกสิ่งของเข็นไปมาจากที่ทิ้งขยะกับบ้าน โดยที่ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร คนในหมู่บ้านรู้ดี ไม่มีใครยุ่งกับเขาๆก็ไม่ยุ่งกับใคร คนซื้อข้าวซื้อน้ำให้เขาก็ไม่เอา ไม่เคยขอเงินหรือสิ่งของใคร ไม่ดื่มเหล้า ไม่เกเร ไม่ไปไหนกับใคร เขาชอบใช้ชีวิตของเขาแบบนั้น เขาจะรักหลานๆมาก เวลาเก็บขนมได้ก็จะเอามาฝาก ทุกคนเข้าใจเขาก็ให้เขาใช้ชีวิตแบบนั้น เพราะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร เขาฟังพูดรู้เรื่อง

แต่นายเปลี่ยน หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ไม่กลับมาบ้านมันผิดปกติ ถามใครก็ไม่เห็น ตามหาทุกที่บริเวณที่ทิ้งขยะก็ไม่เจอ ขอความช่วยเหลือจากผญบ. ผช.ผญบ. ให้ช่วยกันตามหา เพราะนึกว่าเขาหลงป่า ต่อมามีกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และหน่วยกู้ภัย มาช่วยกันหาทั้งบนเขา และที่ราบ 2 วัน ก็ไม่พบ กระทั่งวันที่ 27 ก.ค.จึงเข้าแจ้งความคนหายที่สภ.จอมบึง และญาติๆ ก็ยังคงตามหาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งต่อมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาญาติ ขอเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ คนในครอบครัวที่ใกล้ชิด ไปตรวจพิสูจน์ และมาทราบว่า โครงกระดูกที่พบถูกเผาคารถคือนายเปลี่ยนพี่ชาย ต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีมาก

น.ส.ภันฑิรา เผยอีกว่าเมื่อรู้ว่าพี่ชายถูกฆ่าแล้วเผา ยังไม่จะเชื่อว่าเรื่องโหดเหี้ยมเช่นนี้จะมาเกิดกับพี่ชาย เพราะเขาไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ใคร เขาจะใช้ชีวิตของเขาแบบเงียบๆ ไม่เคยด่าหรือเสียงดังกับใครเลย ตนกับคนในครอบครัวเสียใจมาก อยากรู้ว่าทำไมคนทำถึงใจอำมหิตขนาดนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบไม่ได้ หรือไม่บอกพวกเราก็ไม่รู้เลยว่านายเปลี่ยนถูกฆ่า พวกเราไม่เรียกร้องอะไร อยากให้กฎหมายลงโทษเขาให้ถึงที่สุด ให้ได้รับผลกรรมที่กระทำลงไป ตอนนี้พ่อนายเปลี่ยน และเป็นพ่อตนเองอายุ 89 ปี ที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ยังไม่รู้ว่านายเปลี่ยนเสียชีวิต ลูกหลานทุกคนต่างปิดเป็นความลับโทรทัศน์ก็ไม่ให้ดู เพราะหากพ่อรู้จะทำให้พ่ออาการป่วยทรุดลงอีก

ด้านนางขวัญเรือน บุญมี อายุ 54 ปี พี่สาวนายธิตินันท์ ผู้ต้องหา กล่าวว่าเรื่องที่เกิดขึ้นตอนแรกตนเองนึกว่าโครงกระดูกที่พบเป็นนายธิตินันท์ น้องชาย ตอนนำไปบำเพ็ญกุศล แต่ก็ยังคุยกันว่าจะรอผลตรวจดีเอ็นเอ ถ้าเป็นน้องชายก็ทำบุญให้ตามปกติ หากเป็นศพคนอื่นก็ถือว่าเราทำบุญให้เขาไป ไม่ได้คิดอะไร จนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาบอกว่าอย่าเพิ่งเผา และมารู้ว่าเป็นโครงกระดูกของคนอื่นไม่ใช่ของน้องชาย แต่น้องชายเป็นคนฆ่า ตนเองยังงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ่งมีการมากล่าวพาดพิงว่าตนเองมีส่วนรู้เห็นด้วยนั้น ตนยืนยันว่าตนไม่รู้เรื่องเลย ปกติไม่ค่อยเข้าไปบ้านน้องชาย ที่เกิดเหตุบ่อยครั้งๆ นานๆจะไปครั้งเพื่อเอาข้าวไปให้สุนัข คุยก็ไม่ค่อยได้คุยกัน ที่เข้าไปพบโครงกระดูกคนแรกเพราะน้องสะใภ้โทรศัพท์ให้ช่วยเข้าไปดูหน่อยเห็นว่ามีไฟไหม้รถ แล้วไปเจอโครงกระดูกถูกเผาในรถตนรีบแจ้งผญบ. และแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทราบ ยังนึกเป็นศพน้องชายจริงๆ มาตอนนี้ตนยังมึนกับเรื่องที่เกิดขึ้น มีนักข่าวมาสัมภาษณ์ตนบางช่องทำให้ตนเสียหาย ลักษณะว่ามีส่วนรู้เห็น ตนอยากบอกว่าไม่ต้องมาขุดคุ้ยแล้ว น้องชายตนมอบตัว รับสารภาพ ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว และตนจะไม่ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอีกต่อไป..

 

สุจินต์ นฤภัย(เต้) จ.ราชบุรี

Loading