นายอำเภออินดี้รับซื้อขยะชาวประมงพื้นบ้านเกาะลันตา จ.กระบี่ ช่วงหยุดหาปลาหน้ามรสุม ออกไปเก็บขยะทะเลที่ถูกคลื่นซัดตามป่าโกงกาง มาขายที่ ว่าการอำเภอเกาะลันตา รายได้เฉลี่ย700-1,000บาทต่อวัน ด้านนายอำเภอเผยขยะทะเลเป็นทรัพย์สมบัติบล้ำค่าจากมหาสมุทร
วันที่ 12 ต.ค.63 ชาวประมงพื้นบ้าน ต.ศาลาด่าน อ.เกาะลันตา และ พื้นที่ใกล้เคียง นั่งเรือหางยาวออกไปที่บริเวณป่าชายเลนริมคลองศาลาด่าน ต.ศาลาด่าน อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ เพื่อหาขยะในทะเลไปขายเป็นรายได้เสริม เช่น เชือกอวนไนล่อน รองเท้าเก่า ขวดพลาสติก เป็นต้น ที่ถูกทิ้งในทะเลแล้วคลื่นซัดขึ้นมาติดตามป่าโกงกาง เพื่อนำกลับมาขายให้รถรับซื้อชขยะของนายอำเภอเกาะลันตา ซึ่งละวันได้ขยะมา กว่า200-300 กิโลกรัม สร้างรายได้เฉลี่ยวันละ700-1,000 บาท บรรยากาศคึกคัก
ชาวบ้านเล่าว่า ช่วงทะเลมีคลื่นลมแรง ไม่สามารถออกจับสัตว์น้ำได้ ทำให้ชาวประงพื้นบ้านขาดรายได้ จึงต้องออกไปหาขยะทะเลมาขาย เช่น รองเท้าแตะ ขวดพลาสติก และเชือกอวนประมง ซึ่งตอนนี้ ขยะที่ชายหาดลดน้อยลง เนื่องจากชาวบ้านเก็บไปชายจำนวนมาก จึงชักชวนเพื่อนบ้าน นั่งเรือหางยาวออกไปตามลำคลองป่าโกงกาง ซึ่งเชื่อมต่อไปยังคลองทุ่งหยีเพ็ง อ.เกาะลันตาเพื่อเก็บขยะมาขายแทนการหาปลา เนื่องจากตามลำคลองคลื่นลมไม่แรงเมือนกลางทะเล ซึ่งวันนี้ก็ได้เชือกอวนประมงประมาณ 200 กก. รายได้กว่า 780 บาท นำมาแบ่งกัน ก็พอจุนเจือครอบครัวได้ บางครั้งก็ได้เยอะกว่าหารออกหาปลาทะเล
ด้านนายสมบูรณ์ เต็มชื่น นายอำเภอเกาะลันตากล่าวว่า โครงการเก็บขยะทะเล เกิดจากช่วงหน้ามรสุม ทุกปีจะมีขยะทะเลลอยมาติดชายหาดจำนวนมาก เช่น ขยะพลาสติก เชือกไนล่อน ขวดพลาสติก เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เป็นขยะที่อันตรายต่อสัตว์ทะเล และทำลายทัศนียภาพความสวยงามของหาดทราย แหล่งท่องเที่ยว จึงได้ไประสานกับโรงงานรับซื้อขยะบนฝั่ง เพื่อจัดรถลงมารับซื้อ โดยจัดรถบริการรับซื้อให้ชาวบ้านถึงที่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น เชือกอวน ไนล่อน โพลีเอสเตอร์ กก.ละ3บาท รองเท้าลอยทะเลกก.ละ3 บาท เป็นการกระตุ้นให้ชาวบ้านหันมาเก็บขยะ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในทะเลกันมากขึ้น และสร้างรายได้ให้กับชาวประมงในช่วงหน้ามรสุมด้วย ซึ่งขยะเชือกอวนประมง นั้น มาจากชาวประมงที่ออกทำประมงแล้วเกิดชำรุดเสียกาย จิงทิ้งไว้ในทะเล จึง ได้เกิดไอเดียรับซื้อเพเพราะสามารถนำไปรีไซเคิล ได้ ทำให้ขยะทะเลมีค่า ตามสโลแกน ขยะทะเลเป็นทรัพย์ที่ล้ำค่าจากมหาสมุทร.
กระบี่///ณัฏฐพงษ์. ศรีปล้อง รายงาน
