ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมประสานความร่วมมือกับตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมแถลงข่าวผลการจับกุมประชาชนและเยาวชนที่ก่อเหตุป่วนเมือง ภายใต้ชื่อ ยุทธการ “ปิดเมือง สยบแว้นนครปฐม” ลวกผู้ต้องหาดัดแปลงสภาพรถขับขี่แข่งกันบนถนนหน้าศาลากลางจังหวัดนครปฐม เจ็ดราย และขยายผลจับกลุ่มเพิ่มเติมในกลุ่มผู้ร่วมชมและแข่งขันอีกรวม 24 รายและของกลางรถจักรยานยนต์อีกหลายรายการ โดยประกาศชัดนับจากนี้จะเป็นการเริ่มต้นควบคุมพฤติกรรมของเยาวชน ประชาชนที่ก้าวร้าวก่อเหตุรำคาญในพื้นที่อย่างเด็ดขาด
วันที่ 20 ตุลาคม 68 ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม นางสาวอโรชา นันทมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐมพล.ต.ต.พิทักษ์ อุปพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม พ.ต.อ.อชิรวัตติ์ ถาวรเจริญวัฒน์ ผกก.สภ.เมืองนครปฐม , พ.ต.ท.ตะวัน วัฒนรังสรรค์ รอง ผกก.ป.สภ.เมืองนครปฐม , พ.ต.ท.ฤทธิชัยปกรณ์ ดำรงค์อิทธิสกุล รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนครปฐม ความรู้ด้วยเจ้าหน้าที่ชีวิตชุดจับกุม ได้ร่วมกันแถลงข่าวกวาดล้างเยาวชนขับขี่รถจักรยานยนต์กวนเมืองบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นปัญหาที่ประชาชน ได้ทำการร้องเรียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และได้สร้างความรำคาญในช่วงยามค่ำคืนมาตลอดช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยการจับกลุ่มดังกล่าวเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาเจ็ดคนประกอบด้วย 1. นายรพีภัทร สุภาบุญ อายุ 19 ปี ที่อยู่ 22/40 ม.7 ต.ตาก้อง อ.เมือง จ.นครปฐม 2.นายณัฐพงศ์ ห้วยเรไร อายุ 20 ปี ที่อยู่ 34/2 ม.3 ต.ศรีษะทอง อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม 3. นายบารมี มรกฎจินดา อายุ 19 ปี ที่อยู่ 31 ม.10 ต.คลองจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม 4. นายวงค์หิรัญ ภู่เจริญ อายุ 18 ปี ที่อยู่ 68/3 ม.5 ต.ตลาดจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม 5.นายทาวิน ฉายลิ้ม อายุ 18 ปี ที่อยู่ 19/1 ม.7 ต.ดอนคา อ.บางแพ จ.ราชบุรี 6.นายอนุรักษ์ แก้วลอยมา อายุ 22 ปี ที่อยู่ 18 ม.6 ต.มาบแค อ.เมือง จ.นครปฐม 7.นายธนบดี ประสงค์ดี อายุ 21 ปี ที่อยู่ 7/10 ม.2 ต.สัมปทวน อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม พร้อมด้วยของกลางรถจักรยานยนต์ 7 คัน จากนั้นได้ติดตามขยายผลจับกุม ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กและเยาวชนรวมทั้งหมด 24 ราย เหตุเกิดที่ บริเวณถนนสาธารณะ เส้นทางหน้าศาลากลางจังหวัดนครปฐม ต.ถนนขาด อ.เมือง จ.นครปฐม เมื่อคืนวันที่ 17 ตุลาคม 68 ที่ผ่านมา โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันพยายามแข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานจราจร”
นางสาวอโรชา นันทมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม เผยว่าในการแถลงผลการจับกุมแก๊งค์ขับขี่รถจักรยานยนต์คนเมืองครั้งนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ทางจังหวัดนครปฐมได้ให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐมและสถานี ตำรวจภูธรทุกแห่งในในจังหวัดนครปฐม เพื่อที่จะมีการดำเนินการอย่างเข้มงวดในการใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องของเยาวชนและการรวมตัวของเยาวชนที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ซึ่งได้มีการกำชับกับผู้นำชุมชนกำนันผู้ผู้ใหญ่ ให้มีการร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องของอาวุธปืน ยาเสพติด และเหตุอาชญากรรมที่จะสร้างปัญหาให้กับสังคม ซึ่งต้องบอกว่าในการปิดล้อมจับกุมครั้งนี้ก็ได้มีการนำเทคโนโลยีนี้มาใช้นั่นคือการใช้กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่บริเวณถนนหน้าศาลากลางในการจับพฤติกรรมและวางแผนในการจับกลุ่มซึ่งเน้นหนักในเรื่องของความปลอดภัยของเด็กและเยาวชนที่อาจจะหลงผิดและคึกคะนองแต่ก็สร้างปัญหาให้กับสังคมซึ่งเรื่องนี้ จะมีการดำเนินกฎอย่างจริงจังต่อไป
พล.ต.ต.พิทักษ์ อุปพงษ์ ผบก.ภ.จว.นครปฐม เผยว่าในการติดตามจับ กลุ่มครั้งนี้อยู่ภายใต้แผนงาน ตามยุทธการ “ปิดเมือง สยบแว๊นนครปฐม” ซึ่งสามารถควบคุมผู้ก่อเหตุที่มีการรวมตัวกันหลายราย และจะเป็นจุดเริ่มต้นในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของเยาวชน ทั้งนี้ในส่วนของการจับกุมครั้งนี้ได้มีการเชิญผู้ปกครองของเยาวชนและผู้ที่ถูกจับกลุ่มเข้ามาทำความเข้าใจกันว่าในอนาคตหากท่านอยากเป็นผู้สนับสนุนให้ลูกหลานออกมาก่อเหตุป่วนเมืองเช่นนี้ก็อาจจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาในฐานะผู้สนับสนุนด้วย โดยตอนนี้เราได้มีการนำเทคโนโลยีและระบบออนไลน์ในการวางแผนปิดล้อมตั้งแต่หัวถนนและท้ายถนน หลังจากได้มีการร้องเรียนของประชาชนในการนำภาพถ่ายและข้อมูลทั้งหมดมาให้ซึ่งมีการดำเนินการอย่างมูลละม่อมไม่ทำให้เยาวชนประสบอุบัติเหตุหรือได้รับบาดเจ็บ
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า นอกจากนี้จะมีการลงนามความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆในการแก้ไขปัญหาของเด็กและเยาวชนรวมถึงปัญหาเหตุอาชญากรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นในจังหวัดนครปฐม โดย ได้นำนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ลงกำชับในการดำเนินการอย่างเข้มข้นและจริงใจเหล่านี้ในส่วนรถจักรยานยนต์ที่ยึดมาได้หลายคันไม่ได้มีการนำมาตรวจสอบเรื่องของการดัดแปลงอุปกรณ์ที่ทำให้เสียงดังเท่านั้น แต่จะมีการตรวจสอบอาชญากรรมด้วยว่ารถคันดังกล่าวเคยมีประวัติไปก่อเหตุเรื่องใดและเคยถูกโจรกรรมมาหรือไม่หากมีก็จะมีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดและชัดเจนต่อไป ซึ่งนับจากนี้จะเป็นก้าวแรกในการปราบปรามและควบคุมพฤติกรรมของเยาวชนและประชาชนที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่สังคมอย่างจริงจังแน่นอน