วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

กาญจนบุรี”วันหยุดคนแห่ชมบ่อพุบาดาลรสซ่าดั่งโซดา

กาญจนบุรี วันหยุดคนเริ่มแห่ชมบ่อพุบาดาลรสซ่าดั่งโซดา แต่ต้องอดชิม เหตุต้องรอผลพิสูจน์คุณภาพของน้ำเสียก่อน ขณะที่กำนัน เผยได้น้ำเหมือนถูกรางวัลที่ 1 ส่วนพื้นที่ส่อขัดแย้ง เหตุบ่อบาดาลตั้งคาบเกี่ยวกับ อ.บ่อพลอย

 

ความคืบหน้ากรณีนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล มอบหมายให้นายเกรียงศักดิ์ ภิระไร ผู้อำนวยการสำนักสำรวจและประเมินศักยภาพน้ำบาดาล น.ส.อัคปศร อัคราช ผู้อำนวยการส่วนวิจัยและพัฒนางานสำรวจน้ำบาดาล พร้อมทีมงานลงพื้นที่สำรวจพื้นที่เจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี ที่มีอยู่ ทั้งหมด 21 หมู่บ้าน ตลอดเวลานายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ได้ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าในการสำรวจพื้นที่ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุดสามารถเจาะบาดาลในพื้นที่หมู่ 12 บ้านพะยอมงาม ได้ จำนวน 4 บ่อ ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้ จำนวน 52 ลบ.ม./ชม. และที่ หมู่ 19 บ้านทุ่งคูณ อีกจำนวน 2 บ่อ ปริมาณน้ำที่พัฒนาได้ 66 ลบ.ม./ชม.คิดปริมาตรรวม 1,700,000 กว่า ลบ.ม./ปี ประชากรจะได้รับประโยชน์ จำนวน15 หมู่บ้าน 7,000 กว่าครัวเรือน พื้นที่เกษตร 6,000 ไร่ แต่ที่สร้างความฮือฮาให้กับคนไทยทั้งประเทศก็คือรสชาติของน้ำซ่าคล้ายโซดา ซึ่งถือว่าเป็นบ่อบาดาลแห่งแรกของประเทศไทย

 

ล่าสุดวันนี้ 13 ก.พ. 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เดินทางลงพื้นที่อีกครั้งหนึ่งเมื่อไปถึงปรากฏพบประชาชนทยอยเดินทางมาชมบาดาลโซดาที่น้ำกำลังพุพุ่งสูงขึ้นไปร่วม 10 เมตร บางรายถ่ายเซลฟี่เอาไว้เพื่อที่ระลึก บางรายต้องการทดลองดื่มน้ำเพื่อพิสูจน์ว่ามีรดชาดคล้ายโซดาจริงหรือไม่ แต่ก็ต้องผิดหวัง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยทางเทศบาลตำบลห้วยกระเจา ได้นำเชือกมาขึงกั้นบ่อเอาไว้ พร้อมกับนำป้ายประกาศเตือนมาติดตั้งเอาไว้ ระบุว่า “ห้ามดื่มน้ำแร่โซดา เนื่องจากอยู่ระหว่างการทดสอบคุณภาพน้ำ”

นายภัชรพล สืบดา กำนันตำบลห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจาเหมือนชาวบ้านถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เพราะว่าตำบลห้วยกระเจา เป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดจนได้รับฉายาว่าเป็นภาคอีสานของจังหวัดกาญจนบุรี การที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลโดยท่านอธิบดีศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ มาขุดเจาะครั้งนี้เหมือนชาวบ้านนั้นถูกหวย สำหรับน้ำบาดาลหากทำโครงการได้สำเร็จจะสามารถช่วยเกษตรกรได้มากถึง 10 หมู่บ้าน ที่มีประชากร 4,000-5,000 คน พื้นที่การเกษตรที่จริงมีประมาณกว่า 1 แสนไร่ แต่พื้นที่โซนนี้มีประมาณ 5 หมื่นไร่ น้ำที่ได้มาจากการอุปโภคบริโภค สามารถนำไปใช้ด้านการเกษตรได้

ซึ่งก็อยากจะฝากไปถึงท่านอธิบดีฯช่วยให้โครงการนี้สำเร็จให้ได้ ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องที่ดินหรือกรณีข้อพิพาทที่อาจะเกิด เพราะตนกลัวว่าจะเกิดขึ้น แต่ไม่อยากให้เกิด แต่อยากจะให้หาทางออกร่วมกัน ตั้งพื้นที่แห่งนี้เป็นที่จ่ายน้ำให้ได้ แล้วมาใช้น้ำร่วมกันทั้งสองเขตคือเขตตำบลบ่อพลอยและเขตตำบลห้วยกระเจา เพราะว่าพื้นที่บริเวณนี้มีความเหมาะสมเพราะคนในเขตพื้นที่ตำบลบ่อพลอย ส่วนมากก็เป็นคนห้วยกระเจา

สำหรับปัญหาที่ผมกลัวคือกลัวระเบียบระบบข้าราชการ เพราะหากเลยพื้นที่ของตำบลห้วยกระเจาจะทำให้ตั้งโรงส่งน้ำไม่ได้ ทำให้ดูแลไม่ได้เหมือนกับเป็นข้อพิพาท เพราะตำบลห้วยกระเจาเมื่อก่อนอยู่ในพระราชกฤษฎีกา 2481 ทะเลาะกันเรื่องอยากได้เอกสารสิทธิ์ในที่ดินก็สู้กันมาน่าจะ 4-5 ชั่วอายุคน ซึ่งภาษากฎหมายก็ไม่สามารถทำอะไรได้เต็มที่ เมื่อชาวบ้านได้น้ำมาใช้แล้วแต่ต้องมาเจอปัญหาเรื่องพระราชกฤษฎีกาอีก และต้องมาแย่งพื้นที่กันอีกผมจึงมองว่าไม่ใช่แบบนั้น แต่ตนอยากให้หาทางออกร่วมกันคือตั้งโครงการนี้ให้ได้ที่ตรงจุดนี้เพราะว่าพื้นที่ตรงนี้คือจุดที่เหมาะสมที่สุดแล้ว สายไฟฟ้าก็ไม่ต้องขยายที่ดินเจ้าของก็อุทิศให้หากทำสำเร็จก็กระจายน้ำได้เลยดังนั้นก็อยากให้ช่วยบูรณาการร่วมกัน

สำหรับจุดเริ่มต้นของข้อพิพาทในการแย่งสิทธิ์นั้น คือท่านอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรชาวตำบลห้วยกระเจา เพราะเป็นพื้นที่ที่แห้งแล้งที่สุดจนได้รับฉายาว่าเป็นอีสานของจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงพื้นที่สำรวจว่าพื้นที่หมู่บ้านไหนมีแหล่งน้ำที่สามารถขุดเจาะบาดาลได้บ้างซึ่งก็ออกสำรวจพื้นที่กันมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมาเจอตาน้ำบาดาลในที่แห่งนี้ ซึ่งตาน้ำที่พบเราไม่สามารถที่จะขยับไปที่อื่นได้ แต่เมื่อทางอำเภอบ่อพลอยเข้ามามีข้อพิพาทแย่งพื้นที่ตนจึงไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่ดีที่สุดจะต้องมาพูดคุยกันแล้วทำไปด้วยกันใช้น้ำร่วมกัน จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ด้านนายชลพรรษา บุญซื่อ นักวิชาการทรัพยาธรณีชำนาญการ สำนักทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 2 ( สุพรรณบุรี) กล่าวว่าพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่มีความแห้งแล้งและเราได้รับการร้องขอจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าอยากได้ระบบน้ำบาดาล ท่านอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนลงพื้นที่สำรวจเพื่อหาแหล่งน้ำบาดาลแล้วเริ่มลงมือเจาะ บ่อแรกที่เราเจาะปรากฏยังไม่พบน้ำพุแต่เจอปริมาณน้ำอยู่ที่ประมาณ 30 ลูกบาศก์เมตร สำหรับบ่อที่สองปรากฏเจอน้ำพุ ซึ่งบ่อนี้เราเจาะลึกลงไปถึง 303 เมตร เจอน้ำประมาณ 30-40 ลูกบาศก์เมตรโดยน้ำพุขึ้นมาครั้งแรกสูงประมาณ 1 เมตรกว่า
จากนั้นเราได้เจาะบ่อเพิ่มอีกหนึ่งบ่อเป็นบ่อที่ 3 ซึ่งก็เจอน้ำพุเช่นกันโดยน้ำพุพุ่งสูงขึ้นมาประมาณ 3 เมตร มีปริมาณน้ำมากถึง 50 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการติดตั้งวาล์วเพื่อปิดปากบ่อเอาไว้ แล้วรีดปากบ่อจาก 6 นิ้มให้เหลือประมาณ 3 นิ้ว จึงทำให้น้ำพุพุ่งสูงขึ้นมามากกว่าเดิมเท่าที่เห็น

และชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่ บอกว่าก่อนหน้านี้มีชาวบ้านได้ขุดแล้วก็เจอน้ำพุ่งแบบนี้เช่นกันปัจจุบันบ่อนั้นก็ไม่มีน้ำให้แล้วต้องปิดไป และน้ำที่พุ่งขึ้นมาไม่สามารถนำท่อไปต่อกับเครื่องสูบน้ำได้ เพราะเมื่อเดินเครื่องน้ำไม่ไหล เนื่องจากมีอากาศผสมมามาก ต้องปล่อยลงพื้นแล้วสูบจากแอ่งหน้าดินส่งไปใช้อีกทอดหนึ่ง ส่วนรสชาตินั้นเป็นปกติน้ำบาดาลจะมีรสเปี้ยว รสเค็มแตกต่างกันเป็นธรรมดา ไม่ใช่เป็นโซดาได้ และชาวบ้านที่ทราบข่าวจากหลายพื้นที่เดินทางเข้าไปดูยังจุดน้ำพุ่งบอกทราบจากสื่อต่างๆ จึงได้เดินทางมาชมและดื่มว่าเป็นโซดาจริงอย่างที่เป็นข่าว แต่วันนี้เจ้าหน้าที่ได้ตดตั้งป้ายห้ามดื่มน้ำเสียก่อนและนำน้ำออกไป

ปรีชา ไหลวารินทร์ / กาญจนบุรี

Loading