วันศุกร์, 26 เมษายน 2567

ชาวราชบุรี!!ยื่นหนังสือค้านการปฏิรูปพลังงานไทย”

ชาวราชบุรี ยื่นหนังสือค้านการปฏิรูปพลังงานไทย

ประชาชนในพื้นที่ราชบุรี รวมตัวคัดค้านการปฏิรูปพลังงานไทย ที่หน้าศาลากลางจังหวัด ด้านตัวแทนเผยอยากให้เปลี่ยนระบบการจัดการเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตและจ้างผลิต จะทำให้ประเทศมีรายได้นับแสนล้านบาทต่อปี

วันที่ 24 ก.ย. 61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า… ที่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดราชบุรี ได้มีกลุ่มสภาพลังงานเพื่อประชาชน จ.ราชบุรี จากหลายอำเภอมารวมตัวถือป้ายคัดค้านพร้อมเข้ายื่นหนังสือต่อนายชยาวุธ จันทร ผู้ว่าราชการจังหวัด ถึงกรณีการประมูลแหล่งปิโตรเลียมบงกช เอราวัณ ผ่านไปยัง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ชะลอการเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมบงกช และเอราวัณออกไปก่อนเพราะกฎหมายที่เกี่ยวข้อมีข้อบกพร่องร้ายแรง ซึ่งจะนำไปสู่การฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 164 ( 1 ) โดยจะทำให้การบริหารงานคณะรัฐมนตรี ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม

ทั้งนี้ผู้มาเรียกร้องได้ถือป้ายเขียนข้อความ “ ก๊าซและน้ำมันในอ่าวไทย แหล่งบงกชและเอราวัณ ต้องใช้ระบบจ้างผลิตเท่านั้น และตั้งบริษัทพลังงานแห่งชาติ ” บางป้ายเขียนว่า “ น้ำมัน และก๊าซ ต้องใช้ในประเทศก่อนเหลือจึงส่งขายต่างประเทศ ” “ หยุดอ้างอิงราคาสิงคโปร์ ลดราคาให้คนไทยทันที น้ำมัน ก๊าซ 3 บาทต่อลิตร/กก.” “ น้ำมันไทยลิตรละ 30 บาท น้ำมันพม่า ลิตรละ 22 บาท พม่าซื้อน้ำมันจากโรงกลั่นไทย ” และอีกหลายข้อความ การปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน จะทำให้ราคาลดลง 3 บาทต่อลิตร จะช่วยลดค่าครองชีพให้คนไทยได้อีกประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี และการปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้ม จะทำให้ราคาลดลง 45 บาท ต่อถัง จะช่วยลดค่าครองชีพให้คนไทยได้อีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปี

นายประเสริฐ มงคลพร อายุ 73 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 ซอย 4 ถนนแม้นรำลึก ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี ผู้ประสานงานสภาพลังงานเพื่อประชาชน จ.ราชบุรี เปิดเผยว่า ต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนวิธีประมูลใหม่ ซึ่งมี 5 บริษัท มาซื้อแบบไปแล้ว และจะนำไปยื่นในวันพรุ่งนี้ สำหรับการยื่นจะเป็นแบบแบ่งปันผลผลิต ซึ่งทางประชาชนไม่เห็นด้วย เพราะหากแบ่งปันผลผลิต รัฐบาลจะได้ส่วนแบ่งประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ บริษัทได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ หรือ 40 เปอร์เซ็น 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นระบบจ้างผลิต บริษัทจะได้ไปแค่ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลก็จะได้ไปประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ มีรายได้เข้ารัฐบาลมากกว่า ประมาณ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งเงินนี้สามารถจะเอามาพัฒนาประเทศไทยได้มาก ทั้งด้านการศึกษา การสาธารณสุข ดังนั้นสภาพลังงานเพื่อประชาชนจึงขอให้นายกรัฐมนตรีโปรดพิจารณาทบทวนกฎกระทรวงและประกาศคณะกรรมการปิโตรเลียมที่เกี่ยวข้องกับแนวทางบริหารจัดการแหล่งก๊าซธรรมชาติบงกช เอราวัณที่สัมปทานจะสิ้นอายุในปี พ.ศ. 2565- 2566 เพราะไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ขัดต่อหลักธรรมาภิบาล

โดยแหล่งปิโตรเลียมบงกช และเอราวัณ ในอ่าวไทยมีก๊าซและน้ำมันมากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะหมดสัญญาสัมปทานที่ให้ไว้กว่า 40 ปีมาแล้ว จะหมดสัญญาในปี 2565-2566 วันนี้จึงได้มีการนัดหมายพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งกรุงเทพฯ โดยให้ไปยื่นที่ทำเนียบรัฐบาล ส่วนแต่ละจังหวัดก็จะยื่นที่ศาลากลางจังหวัดผ่านศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดเพื่อยื่นต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป

อย่างไรก็ตามด้านนางสาวประภารัตน์ นาคผจญ ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดราชบุรี ได้ออกมารับหนังสือแทนผู้ว่าราชการจังหวัด พร้อมกล่าวว่าจะนำหนังสือเอกสารที่ประชาชนมายื่นคัดค้านวันนี้ส่งต่อถึงนายกรัฐมนตรีตามระเบียบต่อไป

 

สุจินต์ นฤภัย (เต้)

Loading